100 สิ่งที่คนประสบความสำเร็จเขาทำกัน
ตอนที่ 10 91-100
ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วที่ Be The Victor ได้นำเสนอไอเดียที่จะพาคุณเข้าใกล้เป้าหมาย รวมถึงแนวทางให้นำไปปฏิบัติเพื่อให้คุณพร้อมประสบความสำเร็จในเส้นทางของตัวเอง โดยได้เรียบเรียงมาจากหนังสือชื่อ “100 Thinks Successful People Do” ของ Nigel Cumberland (2017)

“ไดอารี่ของฉันเปรียบเสมือนห้องเก็บของสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของฉัน…เรื่องราวที่ฉันได้ฟังมา คนที่ฉันได้เจอ ข้อความไปทำดีๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวแปลกๆ ที่ฉันคิดว่า มันอาจมีความหมายซ่อนอยู่”
– Dorothy Seyler –
การบันทึกความคิดและเหตุการณ์รายวันเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพของคุณ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การเขียนไดอารี่นั้นส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณทำงานได้ดีขึ้น และนอกจากนี้ มันยังส่งผลดีต่อคุณในแง่อื่นอีกมากมาย เช่น
- ช่วยให้คุณจดจำสิ่งที่คุณทำหรือสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเห็นภาพใหญ่มากยิ่งขึ้น
- เปิดโอกาสให้คุณได้ทบทวนความเปลี่ยนแปลงในวิธีการคิดของคุณ ความฝัน ความหวัง เป้าหมายในชีวิต รวมไปถึงความคิดเห็นต่างๆ
- ช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่องต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้น
- ง่ายต่อการวางแผนสำหรับอนาคต
- ช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น จุดอ่อน จุดแข็งของคุณ เป้าหมาย รวมถึงความกลัวในชีวิต
เก็บไดอารี่ส่วนตัวไว้สำหรับตัวเอง เพราะว่า มันจะเปิดโอกาสให้คุณระบายทุกอย่างออกมา อย่างเปิดใจ โดยไม่ต้องกลัวว่า คนอื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
คุณไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานกับมันเยอะจนเกินไป เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการลองเขียนไดอารี่ซักวันละ 15-20 นาที จำไว้ว่า มันไม่มีกฎอะไรตายตัว แค่เขียนความคิดที่อยู่ในหัวคุณลงไปอย่างตรงๆ คิดอย่างไรเขียนไปอย่างนั้น เขียนมันออกมา
ถ้าคุณเขียนไดอารี่อยู่แล้ว คุณอาจลองใช้เทคนิคเหล่านี้ เพื่อทำให้ไดอารี่ของคุณไม่น่าเบื่อ
- เปลี่ยนจากการเขียนธรรมดาๆ เป็น mind maps ที่ให้คุณได้ลากเส้นเชื่อมความคิดต่างๆ ของคุณ
- ลองตัดบทความจากหนังสือพิมพ์หรือแมกกาซีนที่คุณชื่นชอบมาแปะ
- เก็บเป็นรูปถ่ายแทน ถ้าคุณชอบรูปภาพมากกว่าตัวหนังสือ
- คุณไม่จำเป็นต้องแบ่งไดอารี่ตามวัน คุณอาจเลือกแบ่งตามหัวข้อต่างๆ ของชีวิตคุณ เช่น การงาน การเงิน หรือเรื่องส่วนตัว
- คุณอาจเขียนไดอารี่ ผ่าน blog หรือ social media ต่างๆ ที่สามารถ ใส่รูปถ่าย คลิปวิดีโอ ต่างๆ รวมถึงสามารถแชร์กับคนที่คุณสนิทก็ได้

“เวลาที่ฉันรู้สึกหลงทางและไม่สามารถตัดสินใจได้ ฉันแค่หยุดและอยู่เงียบๆ ฉันแค่ขอเวลานอก”
– Kim Cattrall –
เราทุกคนเคยเจอกับช่วงเวลาที่เรารู้สึกเหมือนหลงทาง เมื่อคุณช่วงต่างๆ ของชีวิต บางครั้งมันก็รู้สึกเหมือนเราไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือกำลังจะไปที่ไหน มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่อยู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันสามารถเกิดกับเราได้ตลอดเวลา – ช่วงวัยรุ่น ตอนแต่งงาน เริ่มต้นงานใหม่ ถูกไล่ออก หย่าร้าง หรือเกษียณ
ในช่วงเวลาเหล่านี้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะรู้สึกหลงทาง มันอาจดูหนักหน่วงจนคุณไม่รู้เลยว่า คุณควรจะทำอย่างไรต่อ? สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณจะต้องจำไว้ก็คือ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก และมันเกิดขึ้นกับทุกคน สมองของคุณแค่ต้องการหยุดซักครู่ รวบรวมข้อมูล และประมวลผลว่า มันควรจะทำอะไรต่อดี? ซึ่งเปรียบเสมือนกลไกป้องกันตัวเองในยามที่คุณมีเรื่องต้องคิดเกินกว่าที่สมองคุณจะรับไหว
สำหรับบางคน มันเป็นแค่สภาวะชั่วคราวก่อนที่คุณจะกลับไปสู่ทางของคุณ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น มันอาจทำคุณหลงไปเลย มันสำคัญมากๆ ที่คุณจะต้องรู้ตัวเองว่า คุณต้องรับความช่วยเหลือจากจิตแพทย์หรือไม่? ก่อนที่สุขภาพจิตคุณจะย่ำแย่ไปกว่านี้
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
หนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองที่คนเรามักจะทำเวลาที่เรารู้สึกหลงทางก็คือ พยายามทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ เราเกลียดการไม่รู้ เราเกลียดการไม่รู้ว่า เราจะต้องทำอะไร? และเราก็มักจะหาอะไรมาถมช่องว่างตรงนี้ อะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่า เรากำลังหาทางแก้ไขปัญหา
ในความจริงแล้วสิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดก็คือ กดปุ่ม Pause และ หยุดสมองของคุณจากการต้องคิดถึงปัญหา ทางออก วิธีแก้ไข และความกังวลทุกอย่าง หยุดทุกอย่าง แล้วก็แค่หายใจลึกลึก
ในระหว่างนั้น ถามตัวเองว่า
- ทำไมคุณถึงกำลังรู้สึกแบบนั้น?
- อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปที่ทำให้ฉันรู้สึกหลงทาง?
- อะไรคือสิ่งที่ฉันต้องทำจริงๆ ตอนนี้?
- ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง?
- ทางเลือกไหนที่ฉันชอบมากที่สุด?
แน่นอน มันไม่มีทางออกง่ายๆ คุณอาจต้องใช้เวลาหลายวัน หรือหลายเดือน ในการทบทวนหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เมื่อคุณพร้อมวางแผนเป้าหมายและสิ่งที่คุณต้องทำ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต แค่อะไรง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ในตอนนี้ เพื่อให้คุณมั่นใจว่า คุณกำลังเดินไปบนทางที่ถูกต้องก็พอ

“คาดหวังสิ่งที่ดีที่สุด วางแผนสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และเตรียมตัวถูกเซอร์ไพรส์”
– Denis Waitley –
คุณชอบทำตามแผนการหรือทำตามอารมณ์ชั่ววูบ? เรื่องเล็กๆ ในชีวิต ถ้าคุณไม่ได้วางแผนสำหรับมัน มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากนักนอกจากความยุ่งยากวุ่นวายมากขึ้นนิดหน่อย แต่กับเรื่องใหญ่ๆ แล้ว คุณต้องวางแผนให้มันอย่างละเอียด
เราทุกคนมีส่วนผสมของทั้งสองอย่าง แต่แน่นอนว่า เราเอียงไปทางหนึ่งมากกว่า ไม่ว่าจะทำตามแผนหรือทำตามอารมณ์ ความสำเร็จในชีวิตนั้นมาจากการหาจุดที่สมดุลระหว่าง
- การคว้าโอกาสที่โผล่มาอยู่ตรงหน้าคุณและพุ่งทะยานไปข้างหน้า
- ทบทวนถึงผลเสียที่สามารถเกิดขึ้นได้และเตรียมแผนสำรองไว้
มันไม่มีจุดตรงกลางที่ชัดเจน ในบางวันคุณอาจคิดในแง่บวกสุดๆ และลองเสี่ยงดวงกับมันดูซักตั้ง ในขณะที่วันต่อไปคุณอาจกลายเป็นคนขี้ระแวงและกลัวความล้มเหลว สิ่งหนี่งที่เป็นความจริงคือ ส่วนผสมของทั้งสองอย่างนี้คือสิ่งที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จ การวางแผนล่วงหน้าโดยการคิดถึงเป้าหมายที่คุณอยากทำให้สำเร็จ และจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ จะเตรียมตัวคุณให้พร้อมสำหรับช่วงเวลาที่จะต้องตัดสินใจครั้งใหญ่
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรในชีวิต ลองนึกถึงสิ่งที่สามารถผิดพลาดได้เผื่อไว้เสมอ ก่อนที่คุณจะตกลงทำอะไรซักอย่าง ให้คุณเตรียมแผนสำรองเผื่อไว้สำหรับตอนที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่อย่าลืมว่า ในเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตคุณนั้น บางครั้งมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะมีแผนสำรอง เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่จะเชื่อมั่นในลางสังหรณ์และสัญชาติญานของตัวเอง
พอมาถึงจุดหนึ่ง คุณจะต้องเริ่มคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณล้มป่วยหรือตายไป และคุณจะทำอย่างไรเพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังคุณนั้นไม่ต้องลำบาก นี่คือ สิ่งที่คุณสามารถทำได้
- ช่วยให้ครอบครัวของคุณเข้าใจสถาณะทางการเงินของครอบครัว – เอกสารต่างๆ เก็บไว้ที่ไหน มีเงินเก็บอยู่ที่ธนาคารใดบ้าง?
- เตรียมพินัยกรรมไว้แต่เนิ่นๆ
- ทำประกันชีวิต
- ทำประกันกับอย่างอื่นด้วย เช่น ประกันบ้าน ประกันระหว่างการเดินทาง และประกันสุขภาพ

“วันนึงคุณจะตื่นขึ้นมาและพบว่า มันไม่มีเวลาเหลือให้คุณทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำอีกแล้ว ทำมันซะตั้งแต่ตอนนี้”
– Paulo Coelho –
Bucket List ก็คือ รายการของสิ่งที่คุณอยากทำก่อนตาย
www.bucketlist.net เคยทำแบบสำรวจ ให้คนมาแชร์ Top10 ของสิ่งที่อยู่ใน Bucket List ของพวกเขา และคำตอบที่ได้ออกมาก็คือ
- ไปดูแสงเหนือ
- โดดร่ม
- ไปสัก
- ว่ายน้ำกับโลมา
- ไปล่องเรือสำราญ
- แต่งงาน
- วิ่งมาราธอน
- เล่น Zip Line (โรยตัวจากที่สูงๆ ด้วยเชือก)
- ขี่ช้าง
- ไปดำน้ำลึก
สิ่งที่โดดเด่นขึ้นมาบนลิสต์นี้ก็คือ ความสำคัญของประสบการณ์ มากกว่าสิ่งของ แน่นอนว่า กิจกรรมหลายๆอย่างในลิสต์นี้นั้นจะต้องใช้เงินพอสมควร แต่หลายๆ อย่างคุณก็สามารถทำได้เลย คุณสามารถหยิบรองเท้าวิ่งคุณมาเริ่มเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับมาราธอนได้เลย
พวกเราส่วนมากนั้นใจกว้างและเราใช้เวลาทั้งชีวิตในการช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จในชีวิตพวกเขา โดยที่บางครั้งเราก็ยอมเสียสละความฝันของตัวเอง โฟกัสของคุณอาจอยู่ที่ พ่อแม่ของคุณ ลูกๆ หรือคนอื่นที่รอให้คุณช่วยเหลือ ซึ่งคนเหล่านี้นั้นสำคัญมากๆ แต่อย่าลืมที่จะแบ่งเวลาให้ตัวเองได้ทำความฝันของตัวเองด้วย
ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่คุณจะเริ่มไล่ทำทุกอย่างใน Bucket List ของคุณ?
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
เริ่มเขียน Bucket List ของตัวเองตั้งแต่วันนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่หยิบกระดาษกับปากกามา แล้วก็เริ่มลิสต์สิ่งที่คุณอยากทำก่อนจากโลกนี้
ทำไมไม่ลองทำ Bucket List สำหรับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทคุณดูด้วยหล่ะ มันจะยิ่งสนุกกว่าเดิมถ้ามีคนที่คุณรักมาร่วมผจญภัยไปกับคุณด้วย
หากว่าคุณมีชีวิตที่โชคดีและคุณมีโอกาสได้ทำหลายๆ อย่างใน Bucket List ของคุณเรียบร้อยแล้ว ทำไมไม่ลองพยายามช่วยให้คนอื่นได้ทำลิสต์ของเขาบ้างหละ? มีมูลนิธิมากมาย ที่ช่วยระดมทุน ช่วยเหลือให้เด็กๆ ที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงได้รับโอกาสทำความฝันของพวกเขาเป็นจริงซักครั้ง

“เมื่อเรื่องราวทุกวันนี้ถูกนำไปกล่าวขาน เราอยากจะพูดได้เต็มปากว่า เราทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วจริงๆ และมันมากกว่าที่คุณจะสามารถจินตนาการได้ซะอีก”
– Bono –
คนเริ่มเชื่อกันแล้วว่า ระบบนิเวศของเรากำลังจะถึงจุดที่ไม่มีวันย้อนกลับมาได้
- ในแต่ละปี เราทิ้งถุงพลาสติกกว่า 500-1,000 ล้านถุง ซึ่งจะใช้เวลาหลายร้อยปีที่จะย่อยสลาย
- มีป่าดงดิบขนาดเท่าสนามฟุตบอล 100,000 สนาม ถูกทำลายทุกๆ วัน
- สัตว์ต่างๆ กำลังสูญพันธุ์ด้วยอัตราเร็วกว่าปกติถึง 1,000 ถึง 10,000 เท่า
- คนกว่า 1,000 ล้านคนไม่มีน้ำดื่มสะอาด
เรามาถึงจุดที่การไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ถ้าเราไม่ทำอะไรซักอย่างตอนนี้ ลูกหลานของเราจะไม่มีธรรมชาติให้ได้พึ่งพาอีกแล้ว คุณจะสามารถชื่นชมกับความสำเร็จของตัวเองได้จริงๆ หรือ ถ้ารอบตัวนั้นมีแต่สิ่งแวดล้อมแย่ๆ ?
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
สิ่งที่คุณเลือกจะทำหรือไม่ทำนั้น จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คุณพร้อมที่จะทำอะไรบ้างเพื่อช่วยมัน?
- ลดปริมาณขยะที่คุณทิ้ง เริ่มต้นง่ายๆ จากห้องครัวของคุณเอง เวลาซื้ออะไรมาแล้วก็พยายามทานให้หมด ลดปริมาณขยะจากอาหารและถุงพลาสติกของเราเอง
- ทุกครั้งที่ซื้อของใหม่ นำของเก่าไปบริจาค
- ใช้ชีวิตอย่างรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้รถไฮบริด เดิน หรือปั่นจักรยานมากขึ้น นั่งรถไฟฟ้าหรือรถตู้สาธารณะเมื่อคุณสามารถทำได้

“ผมไม่รู้ว่า โชคชะตาคุณจะเป็นอย่างไร? แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ คนที่จะมีความสุข ก็คือ คนที่ค้นพบว่า เขาจะสามารถรับใช้เบื้องบนได้อย่างไร?”
– Albert Schweitzer –
การเชื่อมต่อกับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเองนั้นดีสำหรับสุขภาพจิตและทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ลองสำรวจตัวเองว่า คุณทำสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า
- นับถือศาสนา?
- รักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม?
- เป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิเพื่อสังคม เช่น มูลนิธิสิทธิสตรี
- ใช้เวลากับครอบครัวมากๆ
เราไม่อาจอยู่อย่างปลีกวิเวกบนโลกนี้ได้ คุณไม่สามารถสนใจแต่ตัวเอง โดยตัดทิ้งสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด ความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน หรือสิ่งของที่คุณสามารถซื้อได้ เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณเท่านั้น
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
ถามตัวเองว่า
- มีอะไรในโลกนี้ที่คุณรู้สึกต่อมันอย่างหลงใหล?
- นอกจากตัวเองและครอบครัวแล้ว มีสิ่งใดบ้างที่สำคัญกับเราบนโลกนี้?
- ถ้าฉันสามารถเปลี่ยนสิ่งหนึ่งในโลก มันจะเป็นเรื่องอะไร?
มันไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด คุณไม่ได้มีหน้าที่จะต้องอะไร อย่ารู้สึกผิดถ้าคุณไม่ได้รู้สึกว่า จะต้องออกไปเปลี่ยนโลก หรือสร้างมูลนิธิของตัวเอง แค่ทำในสิ่งที่คุณสบายใจที่จะทำแล้วมันทำให้คุณรู้สึกดีก็พอ
ยิ่งคุณเข้าไปมีส่วนร่วมกับการทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งพบกับความหมายที่แท้ของชีวิตมากเท่านั้น คนส่วนใหญ่จะพูดว่า พวกเขายุ่งเกินกว่าจะไปทำอะไรพวกนี้ แต่อย่าลืมว่า คุณจะพบว่าคนที่ออกมารณรงค์ช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ เยอะที่สุดนั้น มักจะเป็นคนที่ยุ่งที่สุดเช่นกัน

“ก่อนที่คุณจะสามารถเริ่มต้นอะไรใหม่ได้ คุณต้องหยุดวิธีการเดิมๆ ที่เคยทำมาเสียก่อน”
– William Bridges –
ราวๆ 40% ของความรู้ที่คุณเรียนในมหาวิทยาลัย จะล้าหลังจนใช้ไม่ได้ภายในเวลา 10 ปี ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปทุกๆ วัน มันง่ายที่คุณจะตามเขาไม่ทัน ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเรียน ลืมสิ่งที่คุณเรียน และเรียนมันซ้ำอีกครั้ง
การเรียนรู้ไม่ใช่สิ่งที่ยาก เรามีความสามารถในการเรียนรู้ที่เรานำมาปรับใช้ในทุกทุกวันอยู่แล้ว แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคุณต้องลืมสิ่งที่เรียนมาแล้วก่อนที่คุณจะสามารถเรียนสิ่งใหม่ได้ต่างหาก มันยากที่เราต้องบังคับให้ตัวเองลืมสิ่งที่เคยเรียนมา
บนสนามประลองของศตวรรษที่ 21 คนที่สามารถลืมสิ่งที่เคยเรียนมา แล้วเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วกว่าจะเป็นผู้ชนะ
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
เราอยากให้คุณมองการเรียนรู้เหมือนการเคลียร์พื้นที่ ก่อนที่คุณจะเรียนรู้สิ่งใหม่ บางครั้งคุณก็ต้องเก็บของเดิมไปทิ้งเสียก่อน ปัญหาคือ เมื่ออะไรบางอย่างเคยช่วยเราในอดีต เราก็มักจะทึกทักเอาเองว่า มันคงใช้ได้ต่อในอนาคต ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป ความรู้ต่างๆ ก็มีวันหมดอายุของมัน นี่คือเหตุผลที่คนที่ประสบความสำเร็จนั้น มักจะเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
พยายามหนีจากความคิดสำเร็จรูป การตั้งความหวังต่างๆ อย่ามัวไปมองว่า ทุกครั้งที่คุณทำสิ่งใหม่ คุณจะต้องได้รับผลลัพธ์แบบนี้เสมอ การเปลี่ยนกรอบความคิดให้พร้อมสำหรับเรียนรู้สิ่งใหม่ หมายถึง คุณพร้อมที่จะถูกเซอร์ไพรส์ พร้อมที่จะถูกท้าทาย พร้อมที่จะผิดหวัง หรือพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่เริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ประสบการณ์ของคุณจะขึ้นอยู่กับความคาดหวังของคุณด้วย

“การเป็นที่ปรึกษาพาเรามารวมตัวกัน – ข้ามผ่านอายุ ฐานะ และเชื้อชาติ – และสอนให้เราเรียนรู้การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ในคำของ Martin Luther King, Jr’s “เราเชื่อมโยงกันอย่างตัดขาดกันไม่ได้ อยู่ในเครือข่ายที่ๆ ผูกเราเข้ากับโชคชะตา”’
– Marc Freedman –
หนึ่งในเคล็ดลับสู่ความสำเร็จก็คือ การทำให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จในบนเส้นทางของพวกเขา แม้กระทั่งในชีวิตของคุณ คุณก็ได้รับความช่วยเหลือและการชี้นำมาจากครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนๆ หลายๆ คนมีส่วนร่วมกับความสำเร็จของคุณโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว บางครั้งพวกเขาก็เป็นเสมือนครูที่สอนบทเรียนอันล้ำค่าให้คุณ บางครั้งแค่การที่พวกเขาอยู่ให้กำลังใจคุณก็เพียงพอแล้ว
การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นก็ยังเป็นการช่วยตัวคุณเองไปด้วย คุณอาจเห็นคนกำลังพยายามก้าวข้ามอุปสรรคเหมือนอย่างที่คุณเคยผ่านมาก่อน บางทีเพื่อนคุณอาจต้องการความช่วยเหลือในการสู้กับโรคร้าย หรือกำลังจะหย่าร้างกับภรรยาของเขาซึ่งคุณอาจช่วยเขาได้
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
วิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องอะไรก็ตาม ก็คือ การสอนเรื่องนั้น ถ้าคุณอยากเรียนรู้วิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ก็จงช่วยเหลือคนอื่นในการเรียนรู้เรื่องเดียวกัน
คุณควรทำตัวให้พร้อมที่จะสละเวลาและแรงเพื่อช่วยสอนคนอื่นๆ เมื่อคุณพบว่า คนใกล้ตัวอาจกำลังเตรียมตัวสำหรับสัมภาษณ์งาน เตรียมสอบ หรือเรื่องอื่นๆ หรือคุณอาจสอนพวกเขาในเรื่องที่คุณเชี่ยวชาญก็ได้
ในขณะที่คุณกำลังสอนคนอื่นอยู่นั้น อย่าลืมที่จะนึกถึงตัวเองด้วยว่า คนอื่นจะสามารถช่วยเหลือคุณได้อย่างไร? อย่ากลัวหรืออายที่จะขอความช่วยเหลือ คนส่วนมากนั้นยินดีที่จะช่วยให้คำปรึกษากับคุณอยู่แล้ว เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกสำคัญและเก่ง

“ตำนานของเราจะถูกเขียนขึ้นโดยความสำเร็จ และความกล้าหาญที่ลูกหลานของเราได้ทำไว้ เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่โหดร้ายของโลก”
– Naveen Jain –
คุณคิดว่า คุณจะถูกจดจำอย่างไร? ลองนึกถึงงานศพของตัวเอง คุณอยากให้คนที่มาร่วมงานพูดถึงคุณอย่างไร? พวกเขาคงจะไม่พูดถึงรถสปอร์ตคันใหม่ของคุณ หรือสนามกอล์ฟที่คุณเป็นสมาชิกอยู่ สิ่งที่พวกเขาจะพูดถึงคือ ตัวตนของคุณว่า คุณเป็นคนอย่างไร? ความคิดของคุณนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน? คุณปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร? พวกเขาจะไม่พูดถึงสิ่งของทีคุณมี แต่พูดถึงความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความมีเกียรติของคุณ
แต่ตำนานของคุณไม่ใช่สิ่งที่คุณทิ้งไว้หลังคุณจากโลกนี้ไปแล้ว แต่คุณเขียนตำนานของคุณไว้ในทุกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต ทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนงานใหม่ ย้ายโรงเรียน หรือเริ่มต้นบทใหม่ คุณเขียนตำนานบทเล็กๆ ของคุณทิ้งเอาไว้ ซึ่งตำนานบทเล็กๆ เหล่านี้ ที่รวบรวมกลายเป็นสิ่งที่คนอื่นจดจำคุณ
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
ลองถามคำถามเหล่านี้กับ ครอบครัวและเพื่อนสนิทของคุณ
- ถ้าอยู่ๆ ฉันหายไป คนจะจดจำฉันว่าอย่างไร?
- คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อพูดถึงชื่อของฉัน?
- ความคิดที่แล่นผ่านมาในหัว เป็นแง่ลบหรือแง่บวก?
- ฉันมีผลกระทบในแง่ใดกับ ความคิดหรือการกระทำของคุณบ้าง?
รับฟังคำตอบของพวกเขาอย่างตั้งใจและใจเย็น ต่อให้คุณได้ยินอะไรที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็ตาม ใจเย็นเข้าไว้
ใช้เวลาทบทวนคำตอบที่คุณได้รับ คุณจะพบว่า ตัวคุณนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบ ถามตัวเองว่า คุณอยากเขียนเรื่องราวของคุณทิ้งไว้อย่างไร? ในที่ทำงาน ในครอบครัว และในชุมชนของคุณ
คุณเห็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่คนอื่นนึกถึงเวลาพูดถึงคุณ กับสิ่งที่คุณอยากให้คนอื่นจดจำในวันที่คุณจากโลกนี้ไปแล้วหรือไม่? ช่องว่างนี้จะชี้ให้คุณเห็นว่า ในจุดไหนบ้างที่คุณจะต้องพัฒนา?
ถ้าคุณพบว่า คุณไม่ได้สร้างเรื่องราวที่น่าประทับใจซักเท่าไหร่นักตลอดมา มันก็ยังไม่สายถ้าคุณพร้อมจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ยอมรับในสิ่งที่คุณเคยทำพลาดพลั้งมา และกล่าวคำขอโทษต่อคนที่คุณเคยล่วงเกิน คุณมีโอกาสในการทำให้พวกเขารู้สึกเป็นที่รัก และมีคุณค่าเสมอ ”คนจะลืมในสิ่งที่คุณพูด คนจะลืมในสิ่งที่คุณทำ แต่พวกเขาจะไม่มีวันลืมสิ่งที่คุณทำให้พวกเขารู้สึก!”

“…บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชีวิตของคุณปู่ก็คือ คุณปู่จากไปโดยไม่มีอะไรเลย เพราะว่าเขาได้ทำทุกสิ่งที่เขาอยากทำ โดยปราศจากความเสียดาย ฉันคิดว่านั่น และการจากโลกนี้ไปแบบฝากอะไรไว้ให้คนรุ่นหลัง ถือเป็นสัญญาณที่ดีของชีวิตที่ประสบความสำเร็จ” – Marvin Sapp
แม้จะมีคนร้อยพ่อพันแม่อยู่บนโลกนี้ สิ่งหนึ่งที่เรามีคล้ายๆ กันก็คือ ความเสียดายในช่วงเวลาสุดท้าย
นางพยาบาลคนหนึ่งเคยออกมาเปิดเผยถึงความเสียดายที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายมักบอกกับเธอก่อนที่พวกเขาจะจากไป และนี่คือ 5 อันดับของสิ่งที่โผล่ขึ้นมาบ่อยที่สุด
- ฉันเสียดายที่ฉันไม่มีความกล้าพอจะมีชีวิตในแบบของตัวเอง และไม่ต้องมาใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นต้องการ
- ฉันไม่น่าทำงานหนักขนาดนี้เลย
- ฉันไม่ควรเก็บความรู้สึกไว้ข้างในเพื่อให้ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย ฉันน่าจะพูดในสิ่งที่ฉันคิดออกไป
- ฉันน่าจะให้เวลากับเพื่อนๆ มากกว่านี้หน่อย จะได้ไม่ต้องห่างหายกันไปหลายคน
- ฉันเสียใจที่ไม่ให้โอกาสตัวเองได้มีความสุขมากกว่านี้ ยิ้มมากกว่านี้ และไม่ต้องมานั่งเครียดกับชีวิตตลอดเวลา
ความเสียใจบนเตียงผู้ป่วยเป็นภาพสะท้อนที่ดีให้กับชีวิตของคุณในตอนนี้ บ่อยครั้งที่เรามองย้อนกลับไปและพบว่า คุณเสียใจกับการตัดสินใจต่างๆ หรือการกระทำของตัวเอง
เป้าหมายของคุณคือ นับตั้งแต่วันนี้ จงใช้ชีวิตที่คุณไม่ต้องกลับมานั่งเสียดายทีหลัง
เราสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?
ใครในชีวิตที่คุณไม่ได้มอบความรักและความเอาใจใส่ให้กับพวกเขามากพอ? ใครที่คุณเคยได้ล่วงเกิน หรือทำให้เขาเสียใจ? นี่เป็นเวลาดีที่คุณจะกลับไปคุยกับพวกเขา รวมถึงขอโทษในสิ่งที่คุณอาจเคยผิดพลาดไป ถ้าคุณไม่แน่ใจว่า คุณควรทำหรือไม่? ถามตัวเองว่า อะไรเป็นสิ่งที่แย่กว่า บทสนทนาที่น่าอึดอัดเมื่อคุณกลับไปคุยกับเขา หรือการสูญเสียพวกเขาไปตลอดกาล?
มีอะไรในชีวิตของคุณที่คุณอยากทำเหลือเกิน แต่ต้องยอมอดกลั้นเอาไว้เพื่อคนอื่นหรือไม่? เราหวังว่า สิ่งที่คุณอ่านมาทั้งหมด จะมอบความกล้าหาญให้คุณออกไปใช้ชีวิตของคุณอย่างเต็มที่ อย่างที่คุณต้องการมากกว่าจะเก็บให้มันเป็นความฝันที่ไม่เคยเป็นความจริงฝังลงหลุมศพของคุณไปด้วย
อย่าลืมนำไปลองทำดูกันนะ…
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แนวทางให้นำไปปฏิบัติทั้ง 100 ไอเดียที่ Be The Victor ได้นำมาเสนอจะพาคุณเข้าใกล้เป้าหมายความสำเร็จในเส้นทางของตัวเองอย่างที่ตั้งใจไว้